บล็อกเชน 101: คู่มือสำหรับมือใหม่เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี

คริปโทเคอร์เรนซีเป็นหนึ่งในหัวข้อและรูปแบบการลงทุนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปัจจุบัน หลายๆ คนอาจรู้จักแค่ Bitcoin แต่แท้จริงแล้วการพัฒนาของคริปโทเคอร์เรนซีนั้นกำลังเติบโตในอัตราที่รวดเร็ว โดยมีเหรียญกว่าหลายพันเหรียญพร้อมให้บริการอยู่ในตลาด ณ ปัจจุบัน

ในบทความนี้ เราจะอธิบายแนวคิดเบื้องหลังคริปโทเคอร์เรนซีอย่างละเอียดสำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนคริปโต

คริปโทเคอร์เรนซีคืออะไร

คริปโทเคอร์เรนซี คือเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งได้รับการจัดการและสร้างขึ้นโดยใช้ Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) มาเป็นตัวควบคุม ทั้งนี้ เทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโทเคอร์เรนซี คือ “บล็อกเชน ” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในบล็อกเชนโดยไม่ได้รับอนุญาต

ไม่ได้มีหน่วยงานส่วนกลางใดๆ ทำหน้าที่ดูแลบล็อกเชนโดยเฉพาะ แต่บล็อกเชนจะทำงานบนคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องที่กระจายอยู่ทั่วโลกแทน นอกจากนี้ ธุรกรรมจะได้รับการตรวจสอบโดย Node ของเครือข่ายผ่านการใช้ Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) แล้วบันทึกในบัญชีแยกประเภท (Ledger) ซึ่งกระจายศูนย์แบบสาธารณะ

สิ่งใดทำให้คริปโทเคอร์เรนซีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความกระจายศูนย์ (Decentralization) เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักของคริปโทเคอร์เรนซี

ในโลกแบบดั้งเดิม เมื่อเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ถูกปิด ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึงบริการของเซิร์ฟเวอร์นั้นๆ ได้อีกต่อไป เช่น ในตอนที่ Meta ประสบปัญหาเซิร์ฟเวอร์ขัดข้องซึ่งส่งผลกระทบต่อ Facebook, Instagram และ WhatsApp ในวันที่ 4 ตุลาคม 2021 ในสถานการณ์ดังกล่าว คุณอาจไม่สามารถเข้าสู่ระบบบัญชี Instagram ของคุณในวันนั้นได้

แต่ในโลกของคริปโต ผู้ใช้สามารถส่งและรับคริปโตได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน ซึ่งถือว่าแตกต่างจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงิน Fiat อื่นๆ ตรงที่ไม่มีตัวกลางแบบรวมศูนย์ เช่น ธนาคารและรัฐบาลที่เข้ามาควบคุมการออกเหรียญ การจัดการบัญชี หรือการยืนยันธุรกรรมของคริปโต และจะไม่มีผู้ใดที่สามารถเปลี่ยนกฎของคริปโตได้โดยที่ไม่เข้าไปจัดการกับฉันทามติของระบบ

ตัวอย่างเช่น ระบบ Bitcoin ในปัจจุบันที่ดำเนินการด้วยคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องที่กระจายอยู่ทั่วโลก ผู้เข้าร่วมเครือข่ายจะใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อพวกเขากับผู้เข้าร่วมรายอื่น เพื่อให้สามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คริปโทเคอร์เรนซีสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน รวมถึงการทำธุรกรรมจะได้รับการดำเนินการทุกที่ทั่วโลกในทุกเวลาโดยไม่มีการหยุดชะงัก ถึงแม้ว่าจะมีคอมพิวเตอร์ปิดเครื่องไป แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบ Bitcoin แต่อย่างใด กล่าวคือ คริปโตช่วยให้เกิดการทำธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบยืนยันจากบุคคลที่สามอย่างแท้จริง

Cryptography สำหรับ Public Key และ Private Key คืออะไร

เทคนิค Cryptography สำหรับ Public Key คือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องอาศัยเพื่อดำเนินการส่งและรับสินทรัพย์ ซึ่งการที่จะใช้งานหรือทำธุรกรรม Bitcoin ได้นั้น คุณจะต้องมี Wallet เพื่อจัดเก็บเหรียญของคุณ ในลักษณะเช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้ ไม่ว่าใครก็สามารถสร้าง Wallet ใหม่ได้โดยการสร้าง Public และ Private Key ขึ้นมา โดยที่ Public Key จะมีไว้สำหรับการเข้ารหัสข้อมูล Wallet ของคุณ ส่วน Private Key จะมีไว้สำหรับถอดรหัสดังกล่าว

Public Key ทำหน้าที่เป็น Address สำหรับ Wallet ที่สามารถรับยอดฝากคริปโตได้ หากคุณต้องการรับคริปโตในธุรกรรมใดๆ คุณต้องให้ข้อมูล Public Key ของคุณแก่ผู้ส่ง พวกเขาจึงจะสามารถส่งสินทรัพย์ให้กับคุณได้

Private Key ทำหน้าที่เป็นรหัสผ่านของ Wallet เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ Wallet ของคุณ โดยข้อมูล Private Key นี้จะเป็นจำนวนมหาศาลที่ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้เก็บ Private Key ของคุณไว้เป็นความลับ และจำไว้เสมอว่า หากคุณไม่สำรอง Private Key และทำข้อมูลนั้นสูญหาย คุณจะไม่สามารถเข้าถึง Bitcoin Wallet ของคุณได้อีกต่อไป จนกว่าคุณจะทราบว่า Private Key ของตัวเองคืออะไร

นอกจากนั้น คุณยังสามารถสร้างลายเซ็นดิจิทัลได้ด้วยการเซ็นชื่อข้อมูล (Signing Data) ด้วย Private Key ของคุณ ซึ่งกระบวนการนี้จะคล้ายกับลายเซ็นบนเอกสารบนโลกจริง กล่าวคือ เมื่อคุณทำธุรกรรม ประวัติธุรกรรมดังกล่าวจะถูกเซ็นและเพิ่มลงในบล็อกเชนนั่นเอง

ทั้งนี้ ลายเซ็นยังสามารถยืนยันได้โดยใช้การเปรียบเทียบกับ Public Key ที่ตรงกัน ด้วยวิธีนี้ กระบวนการยืนยันตัวตนจะง่ายดายยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย Private Key ของตนเพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของแต่อย่างใด

ความแตกต่างระหว่างเหรียญและโทเค็นคืออะไร

แม้ว่าทั้งเหรียญและโทเค็นจะสามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนและจัดเก็บไว้ในบล็อกเชนได้เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างบางประการระหว่างคริปโตทั้งสองรูปแบบ ดังนี้

ตัวอย่างเช่น คริปโตมีความคล้ายคลึงกับแนวคิดเรื่องเงิน โดยมูลค่าของธนบัตรทุกๆ 100 USD จะมีค่าเท่ากันในทุกกรณี

โทเค็นนั้นมีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของแสตมป์ เนื่องจากการออกแบบแสตมป์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันออกไป และความแตกต่างเหล่านี้อาจส่งผลให้แสตมป์บางประเภทมีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ได้เลยทีเดียว

สถานที่ซื้อคริปโทเคอร์เรนซี

การซื้อคริปโตสามารถทำได้ผ่านหลากหลายวิธี ได้แก่:

Peer-to-Peer (P2P)

คุณสามารถซื้อ Bitcoin จากบุคคลอื่นได้โดยตรงผ่านการนัดพบตัวต่อตัว หรือผ่านเว็บไซต์ ส่วนการโอนเหรียญจะดำเนินการผ่านการแบ่งปันข้อมูล Public Key ของ Wallet ของคุณกับผู้ส่ง

แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange: DEX)

DEX คือแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีประเภทหนึ่งที่ช่วยให้การทำธุรกรรมคริปโตแบบ Peer-to-Peer โดยตรงสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางใดๆ

แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (Centralized Exchange: CEX)

CEX คือแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีประเภทหนึ่งที่ดำเนินการโดยบุคคลที่สามซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบยืนยันธุรกรรมและจัดการบัญชี ทั้งนี้ บุคคลที่สามดังกล่าวจะเป็นดั่งตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดคริปโต

CEX อาจเป็นตัวเลือกที่ง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับมือใหม่ในโลกคริปโต เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้จะสามารถช่วยปกป้องผู้ใช้จากความผันผวน พร้อมทั้งมอบความปลอดภัยและการกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ให้แก่ผู้ใช้บริการทุกคน

ยังไม่มีบัญชี Bitget ใช่ไหม สมัครวันนี้เลย!